เลือกหัวข้อย่อยที่อยากอ่าน Table of Content กดแสดง

เล่าเรื่องด้วยภาพ (Story Card) คืออะไร

ยุคนี้ คนไทยใช้เวลาอยู่กับมือถือโดยเฉลี่ย 5-6 ช.ม. ต่อวัน วิธีการที่ชาวเน็ตใช้ดูฟีด (Feed) ในFacebook ก็คือ

…. การไถล หรือเลื่อนนิ้วไปเรื่อยๆ …

จะหยุดนิ้วเพื่ออ่านเรื่องยาวๆ ก็จะเลือกเรื่องเฉพาะที่สนใจจริงๆ ซึ่งส่วนใหญ่ ถ้าไม่เป็นแฟนประจำของเพจที่เขียนโพสท์ยาวจริง ก็คงแค่เลื่อนผ่าน ครูบอยเองก็เป็นครับ

เราจึงต้องหาวิธีนำเสนอใหม่ๆ ที่ทำให้คนสนใจที่จะดูโพสท์ของเรามากขึ้น การเล่าเรื่องด้วยภาพในแบบ Story Card หรือ บางคนก็เรียก Photo Album จึงถูกนำมาใช้

อย่างที่บอกครับ ชาวเน็ตยุคนี้ ใจร้อน สมาธิสั้น เรื่องราวที่อยากดู คือเรื่องราวในแบบที่ ย่อยแล้วก็ป้อนเข้าปากเลย ไม่ต้องเคี้ยวให้เสียเวลา เมื่อย-กรามเปล่าๆ

เล่าเรื่องด้วยภาพ (Story Card) ก็คือ การนำเรื่องยาวๆ อ่านนานๆ มาแตกข้อๆ แล้วแต่ละข้อมาทำเป็นรูป รูปละข้อ เพื่อให้อ่านและดูง่ายขึ้น

เช่น หากอยากจะเล่าว่า ลักษณะงานมี 4 แบบมีอะไรบ้าง ถ้าเรานำเสนอเป็นโพสท์ยาวๆ อธิบายงานแต่ละแบบมีอะไรบ้าง โพสท์นั้นก็คงยาวจนไม่อยากอ่าน ขัดใจชาวเน็ทเป็นแน่ เราก็ปรับวิธีการเล่าใหม่ในแบบรูปภาพ หรือ Story Card โดย แต่ละภาพ บอกถึงงานแต่ละประเภท อย่างในรูป “งาน 4 แบบตัดสินความสำเร็จ ” ที่ลงไว้ในเพจ Kruboy The Digital Expert >> (https://www.facebook.com/kruboyDigital/posts/278530809255434 )

อีกตัวอย่างนึง จาก เพจหุ่นเป๊ะ โพสท์ ” 10 ท่าออกกำลังกายช่วงสงกรานต์ หุ่นเป๊ะได้แม้ไม่มีอุปกรณ์ ” >> ( www.facebook.com/hunpeaforu/posts/441607676186324) ที่ทางเพจได้ทำให้เราออกกำลังกาย 10 ท่า ที่เราสามารถทำตามได้เลย ข้อดีของโพสท์นี้คือ เราสามารถเซฟภาพไว้ทำตามในภายหลังครับ

ส่วนประกอบที่ต้องมีในการ เล่าเรื่องด้วยภาพ

การทำ Story Card ก็เหมือนทำหนังสือน่ะครับ เราก็ต้องมีทั้งเกริ่น ทั้งเนื้อหา และจบท้าย สิ่งที่ต้องมีในการทำ Story Card มีดังนี้

1. ปกหน้า หรือ ภาพแรก ที่บอก ผู้อ่านว่า เรากำลังจะบอกให้เค้าฟังเรื่องอะไร หรือ กูรู Content บางท่านเรียก คำโปรย

2. ภาพที่แตกเป็นข้อๆ เพื่ออธิบาย พร้อมคำอธิบายสั้น ๆ

3. ลงท้าย ด้วย Call-to-Action หรือ บอกให้ผู้อ่านทำอะไร เช่น ชอบก็กด Like Comment Share หรือ ไม่ก็ นำไปใช้แล้ว มาเม้นท์มาบอก แอดมินด้วยนะ อะไรทำนองนี้ ครับ